Last updated: 26 พ.ค. 2563 | 1082 จำนวนผู้เข้าชม |
Stemcell คืออะไร?
สเต็มเซลล์หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งตามความเข้าใจก็คือเซลล์ต้นกำเนิดนั่นเอง โดยเซลล์ชนิดนี้จะมีอยู่แทบทุกส่วนในร่างกายของคนเราสามารถแบ่งตัวเองได้อย่างไม่จำกัด เพื่อที่จะเข้าไปแทนที่เซลล์ต่างๆในร่างกายที่เสื่อมสภาพลง ทำให้ร่างกายมีการฟื้นฟูและเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้นซึ่งก็สามารถพบได้ทุกช่วงเวลาของการเจริญเติบโตในสิ่งมีชีวิตเลยทีเดียว
Stemcall มีกี่ประเภท?
สเต็มเซลล์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ โดยแต่ละประเภทก็จะมีต้นกำเนิดและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป ได้แก่
1.เซลล์ต้นกำเนิดที่แยกได้จากตัวอ่อน
Stemcell ประเภทนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ต่างๆ ได้เกือบทุกชนิดในร่างกาย จึงสามารถเข้าไปทดแทนเซลล์ที่เสื่อมสภาพได้ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นสมอง ผิวหนัง กล้ามเนื้อ หัวใจหรือเซลล์เม็ดเลือด เป็นต้น นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมร่างกายของคนเรามักจะฟื้นตัวได้เร็วอยู่เสมอ แถมทางการแพทย์ก็มีการนำสเต็มเซลล์มาใช้เพื่อรักษาโรคบางชนิดอีกด้วย
2.เซลล์ต้นกำเนิดที่แยกได้จากสิ่งมีชีวิตโตเต็มวัย
เป็นเซลล์ต้นกำเนิดที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นเซลล์เนื้อเยื่อนั้นๆ ได้เท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนไปเป็นเซลล์อื่นๆ ในร่างกายได้ ซึ่งก็มีคุณสมบัติที่ด้อยกว่าสเต็มเซลล์แบบแรกพอสมควร ตัวอย่างสเต็มเซลล์ประเภทนี้ เช่น สเต็มเซลล์ของเลือด ก็จะเปลี่ยนเป็นเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด หรือสเต็มเซลล์ของผิวหนัง ก็จะเปลี่ยนเป็นเซลล์ผิวนั่นเอง
Stemcell ถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคชนิดใดบ้าง?
สำหรับการนำสเต็มเซลล์มาใช้ในการรักษาโรคทางการแพทย์ได้อนุญาตให้นำมาใช้รักษาโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบเลือดเท่านั้น ส่วนโรคอื่นๆ ยังไม่มีผลการวิจัยที่แน่นอน
ซึ่งก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดลองและศึกษาวิจัยทางคลินิกแต่คาดว่าในอนาคตจะสามารถนำสเต็มเซลล์มารักษาโรคอื่นๆ ได้มากขึ้น
โดยโรคที่นิยมนำสเต็มเซลล์มารักษาในปัจจุบันได้แก่
โรคลูคีเมีย
โรคทาลัสซีเมีย
โรคจากภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิด
มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งต้านม มะเร็งไต เป็นต้น
ภาวะเม็ดเลือดแดงแตก
โรคเอสแอลอี
โรคไขกระดูกฝ่อที่เกิดภายหลัง
ฯลฯ
จำเป็นต้องเก็บสเต็มเซลล์ของตนเองไว้ไหม?
หลายคนมีความคิดว่าควรเก็บสเต็มเซลล์ของตนเองโดยการแช่แข็งเอาไว้เพื่อใช้สำหรับรักษาตัวเองในอนาคต แต่ความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องเก็บ Stemcell ของตนเองไว้เสมอไป เพราะแพทย์สามารถเก็บเซลล์ในร่างกายของผู้ป่วยได้ทุกช่วงเวลาและนำมาใช้ได้ทันทีนั่นเอง นอกจากนี้โดยส่วนมากแล้วในการรักษาจะไม่นิยมใช้สเต็มเซลล์ของตัวผู้ป่วยเองแต่จะใช้สเต็มเซลล์ที่ได้จากผู้บริจาครายอื่นที่มีความสมบูรณ์แบบมากกว่า นั่นก็เพราะสเต็มเซลล์ที่ได้จากผู้ป่วยอาจมีความผิดปกติทางพันธุกรรมในระบบเลือดแฝงอยู่ทำให้ผลการรักษาไม่เป็นไปดั่งที่ต้องการและอาจทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิมได้ สเต็มเซลล์จากสายสะดือทารกจำเป็นหรือไม่? ในอดีต สเต็มเซลล์ที่ได้จากสะดือทารกมีความจำเป็นมากเพราะเป็นสเต็มเซลล์ต้นกำเนิดที่แยกได้จากตัวอ่อน จึงมีคุณสมบัติในการแปลงเป็นเซลล์ต่างๆ ในร่างกายเพื่อเข้าไปแทนที่เซลล์ที่เสื่อมสภาพได้เป็นอย่างดี แต่เนื่องจากในปัจจุบันสามารถสร้างเซลล์ตัวอ่อนเฉพาะบุคคลในช่วงวัยใดก็ได้และมีคุณสมบัติที่ไม่แตกต่างกัน จึงไม่จำเป็นต้องเก็บ Stemcell จากสะดือของทารกต่อไป โดยกระบวนการดังกล่าวเรียกว่า IPS cell นั่นเอง
สรุปได้ว่า Stemcell ก็คือเซลล์ต้นกำเนิดชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกายของคนเราสามารถนำมารักษาโรคต่างๆ เกี่ยวกับระบบเลือดได้และยังมีข้อดีอีกมากมายอีกด้วย แต่ในปัจจุบันนี้การนำสเต็มเซลล์มาใช้ประโยชน์ยังไม่เต็มที่มากนักเนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยค้นคว้า ซึ่งคาดว่าในอนาคตคงจะสามารถนำสเต็มเซลล์มารักษาโรคอื่นๆ ได้มากขึ้น